ปีที่ผ่านมา มีอะไรให้คิดให้ทำมากมายจริงๆครับ ไม่ค่อยคุ้นชินกับเรื่องที่ต้องคิดกันให้วุ่นวายเท่าไหร่ โลกก็ร้อน บ้านเมืองก็ร้อน แล้วทำไมเราต้องมาร้อนรนด้วย แปลกใจอยู่เหมือนกัน การปล่อยวางจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด (สำหรับคนที่ทำได้และได้ทำแม้เพียงเศษเสี้ยวก็ตาม) แต่อย่างว่านะครับ การปล่อยวางคงไม่ใช่ทางออกของผมซักเท่าไหร่ ก็ผมเองหาใช่มนุษย์ที่ไร้ความรู้สึกรู้สึกสานี่ครับ พูดง่ายๆก็ยัมีความชั่วร้ายผสมอยู่ในอัตราส่วนค่อนข้างเยอะทีเดียว เข้าเรื่องดีกว่า ทางออกทางหนึ่งที่ผมมักใช้กับตัวเองบ่อยๆเมื่อเกิดเบื่อ เซ็ง จิตตกก็คือ การไปชีวิตคนอื่นๆบ้าง ว่าเขาเป็นอย่างไรกัน มีใครสุขยิ่งกว่าเรา ทุกข์ยิ่งกว่าเราหรือป่าว ที่ๆเหมาะที่สุดก็คือ โรงหนัง ทุกเรื่อง ทุกฉาก ทุกตัวละคร มีส่วนให้ผมรู้สึกว่า โลกแห่งความหลากหลายเช่นนี้ มีอะไรให้เราค้นหา เรียนรู้อีกเยอะแยะไป...5 อันดับหนังประทับใจเช่นเคยนะคับ ไม่เรียงตามลำดับความชอบนะครับ เรียงตามตัวอักษรแล้วกัน
Avatar
ในขณะที่ตัวอย่างหนังเริ่มปล่อยฉาย ผมเองสงสัยอยู่อย่างเดียวว่า การมีอวตารของตัวเองจะเป็นเช่นไร นอกนั้นก็ให้ความรู้สึกว่ามันคือหนังแอ็คชั่นระหว่างมนุษย์ต่างดาวกับมนุษย์โลก โดยเปลี่ยนให้มนุษย์โลกอย่างเราๆเป็นตัวร้ายน่ารังเกียจและคอยเอาใจช่วยมนุษย์ต่างดาวตัวสีฟ้า หรือชาวนาวีนั่นเอง แต่เมื่อได้เข้าไปนั่งดู(ดูสองครั้งนะครับเรื่องนี้) ครั้งแรกดูด้วยโณงภาพยนตร์ 3 มิติเสริมด้วยระบบดิจิตอล...ให้ความรู้สึกตื่นตะลึงทีเดียว หนังรังสรรค์ภาพได้งดงามมากมาย โดยเฉพาะเมื่อความมืดเข้าปกคลุม ครั้งที่สองดูด้วยจอไอแมกซ์ 3 มิติ จอใหญ่แต่ไม่เต็มจอ แน่นอนเมื่องานด้านภาพได้ผ่านหน้าไปแล้ว ความเสมือนจริงและฉากแอ็คชั่นดูเอามันส์ ไม่ปวดเศียรเวียนเกลาสั่นส่ายให้ปวดหัวก็ทำให้ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ตอนนี้ Avatar ทำเงินสูงสุดทั่วโลกไปแล้ว
Departures
“หนังเกี่ยวกับคนทำศพ” นานๆผมจะได้เห็นอาชีพที่ดูแปลกตาแบบนี้ ทำให้น่าสนใจไม่น้อย ไดโกะ พระเอกของเรื่องตกงานจากวงดนตรี(กิจกรรมที่เขารักและชื่นชอบ) เขาแต่งงานกับ มิกะ( แสดงโดย เฮียวโกะ ฮิโรสุเอะ น่ารักสุดๆ) โดยทั้งสองต่างก็หางานทำจนกระทั่งไดโกะ ได้พบกับใบประกาศสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับ Departure อันเป็นที่มาของชื่อหนัง งานที่เขาได้รับคือการแต่งตัว อาบน้ำให้คนตาย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประกอบพิธีกรรมจัดงานศพต่อไป ในขณะที่ผู้ชมได้พบกับปูมหลังของตัวละครที่เกี่ยวข้องกับผู้ตาย ตัวเอกของเรื่องก็ได้เรียนรู้เกี่ยวเรื่องราวความหมายของชีวิตไปด้วย หนังอิ่มเอิบ แม้จะเป็นหนังที่เรียบเรื่อยแต่มันก็งดงาม โดยเฉพาะเฮียวโกะ ฮิโรสุเอะที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษการแสดงของเธอผ่าน สีหน้า แววตา ท่าทางของภรรยาที่เข้าใจสามีที่มี”อาชีพหากินกับคนตาย”นั้น ทำออกมาได้กินใจอย่างยิ่งเลยทีเดียว ความสุขที่อยู่เหนือความเศร้า การจากลาพร้อมความเข้าใจ ย่อมเป็นสิ่งที่คนเราต้องการไม่ใช่หรือ?!
Inglourious Basterds
หนังเรื่อง Inglorious Basterds ถูกเล่าเรื่องขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะนั้นนาซีกำลังตามกวาดล้างพวกยิวชนิดไม่ให้เหลือซาก ฮานส์ ลันดา(อ่านแบบนี้หรือป่าวครับเนี่ยะ) หัวหน้านายทหารผู้ล่ายิว มีคนให้สมญานามว่า”พอมดล่ายิว” เนื่องจากเขาเก่งกาจในเรื่องการตามล่า ค้นพบ และสร้างอารมณ์ขันร้ายๆให้กับกองทหารหรือแม้กระทั่งชาวยิวผู้เป็นเหยื่อ (อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเราเป็นเหยื่อต่อหน้าผู้การพ่อมดรายนี้ เราจะยิ้มออกได้หรือไม่) จนกระทั่งการปล่อยหนึ่งสาวชาวยิวให้รอดชีวิตไป อีกด้านชาวยิว อมริกา และ ชาวเยอรมันแท้ๆบางส่วนได้ตั้งกลุ่มรบพิเศษที่เรียกว่า The Basterds เพื่อสังหารโหด นาซีโรคจิตชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน นำโดย ผู้หมวดอัลโด เรน (แบรด พิทท์) อีกด้านนาซีหนุ่มรูปงามกับสาวชาวยิวที่รอดชีวิตมา ได้รับมรดกเป็นโรงภาพยนตร์กัยความสัมพันธ์กับซึ่งเธอกำลังวางแผนลอบสังหารหัวหน้าระดับสูงของนาซี ที่โรงภาพยนตร์แห่งนี้ หนังสงครามเรื่องนี้ แบ่งเรื่องราวเป็นตอนตัดสลับเรื่องราวไปมาและขมวดเป็นปมไคล์แมกซ์ในตอนท้าย บทพูดมากมาย เสียดสีและฉากตลกร้ายของคริสตอฟ วอลส์ทำให้สีสันของหนังจัดจ้านขึ้นมาอักโขทีเดียว การแสดงทีเล่นทีจริงแต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจทำให้เราไม่อาจรู้สึกว่าปลอดภัยต่อหน้านาซีผู้นี้ได้ อีกหนึ่งคนที่ชอบมากจากเรื่องนี้คือ ไดแอน ครูเกอร์กับบทสายลับสองหน้าผู้มาในมาดนักแสดงหญิง การแสดงเล็กๆน้อยๆน่าหมั่นไส้ของเธอ หนังคาดเดาได้แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปนัก เราอาจชื่นชอบเมื่อชาวนาซีถูกถลกหนังหัว ถูกยิงเลือดสาดกระจาย เราอาจเศร้าเสียใจเมื่อกลุ่มต่อต้านนาซีเสียชีวิต กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็ถือว่าเราแบ่งฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว...(เอ๊ะ!พูดแบบนี้ เหมือนเราขะเข้าข้างพวกโรคจิตนาซีพิกล ความหมายคือ ทุกคนอาจมีเหตุผลของตัวเองก็ได้ไงครับ)
Let The Right One In
ความเงียบเหงาของฉากหลัง แสงสีและการถ่ายภาพคือสิ่งมที่ผมรู้สึกชอบมากจากหนังเรื่องนี้ แต่พอคิดอีกที หนังแวมไพร์เรื่องนี้มีอะไรให้ขบคิดมากมาย ออสการ์เด็กชายเจี๋ยมเจี๊ยมมักถูกรังแกจากเด็กชายคนอื่นๆ การระบายออกด้วยการสร้างจินตนาการมีดที่พกไว้ต่อสู้กับความว่างเปล่าทำให้เขาดูเหมือนมีชัยอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่ง เอลี่เด็กสาวข้างบ้านเข้ามาในชีวิต เอลี่คอยช่วยเหลือออสการ์ให้เข้มแข็ง เธอเองก็มีเบื้องลึกที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อย...อดีตที่น่าข่มขื่นของทั้งสอง สอนให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้กันและกัน จนกระทั่งความจริงต่างๆถูกเปิดเผย หนังเย็นเยียบไปด้วยหิมะขาวโพลน หลอนหลอกด้วยเลือดสีแดงฉุดฉาดเป็นระยะ Let the right one in แปลได้ว่าการเชื้อเชิญให้เข้ามาข้างใน เมื่อความจริงเปิดเผย การพิสูจน์ของ ออสการ์ก็เริ่มขึ้น เขาไม่ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญเอลี่เข้าในห้อง จนกระทั่งเอลี่ก็ยินยอมฝ่ากฎของแวมไพร์(เป็นอย่างไรต้องติดตามเองนะครับ) ถือว่าเป็นฉากที่เรียกความช็อคได้พอควร นอกจากหนังจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์และความสัมพันธ์ของเด็กขี้แพ้แล้ว ประเด็นเพศที่สามยังก้าวเข้ามามีบทบาทในหนังอีกด้วย ความโรแมนติกทิ้งอารมณ์เศร้าสร้อยสลับความสยองขวัญโหดเลือดสาดแบบลงตัวแบบนี้ ผมเลยออกจะชอบเอามากๆนะครับ
The Reader
เป็นหนังที่เหงา เศร้าสร้อยได้จับใจอย่างแท้จริงเลยนะครับ หนังตีแผ่แทบจะทุกอณูของความเป็นมนุษย์กันเลยทีเดียวหลังจากการได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวที่อายุมากกว่า ไมเคิล เบิร์ก เด็กหนุ่มก็ประทับใจและตามติดด้วยการมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงที่อายุมากกว่าตน แต่พฤติการณ์ก่อนมีอะไรกัน ฮันนาได้ตกลงกับเด็กหนุ่มว่าเขาต้องอ่านหนังสือให้กับเธอผู้นี้ฟังก่อนเสมอ ปฏิกิริยาของเธอขณะฟังเสียงอ่านทกให้เขาหลงรักเธอมากขึ้น แต่ไม่ช้าเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย...การพบเจอกันอีกครั้ง ฮันนากลับถูกควบคุมตัวในโทษฐานนาซีผู้โหดเหี้ยม?! และความลับบางอย่างของฮันนาได้ถูกเปิดเผยออกมา...ความจริงผมออกจะชอบมุมมองที่แตกต่างออกไปของนาซี ในที่ไม่ได้มีความหมายว่าผมสนันสนุนให้มีการเข่นฆ่าล้างโคตรชาวยิวนะครับ แต่สำหรับตัวละครอย่างฮันน่า เป็นที่รู้กันว่าเธอปกปิดความลับบางอย่างไว้ ความลับที่เธอคิดว่าน่าอับอายยิ่งกว่าการฆ่าคนเสียอีก เธอบอกกับทุกคนว่า”เพราะเธอทำตามหน้าที่ ถ้าไม่ทำจะตายไหม แล้วถ้าทำจะตายไหม” แปลกดี ที่ฉากว่าความตัดสินประหารโทษ มันเป็นฉากที่เศร้าซึมลึก สีหน้าแววตาของฮันน่า ซึ่งแสดงโดยเคท วินสเลต จะทำให้เรียกร้องความสงสารในชะตากรรมของหญิงผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนาซีผู้โหดเหี้ยมได้ หนังอาจเชิดชูมุมมองอันน่าเห็นใจของหญิงสาวนาซีผู้หนึ่ง ขณะเดียวกันไมเคิลก็มีความลับบางอย่าง ความลับที่ตนคิดว่าหากคนอื่นได้รับรู้ เขาอาจตกอยู่ในฐานะ”มนุษย์ผู้เกลือกกลั้วกับความโฉดชั่ว”เขาอาจถูกรังเกียจจากสังคมรอบข้างก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ไมเคิลทำก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับฮันน่า เพราะกลัวความน่าอับอายจากผู้คนรอบข้าง ชีวิตของเขาและเธอจึงต้องแบกรับผิดบาปที่ได้กระทำไว้ ผมมองเห็นมนุษย์ในหลากหลายแง่มุมจากหนังเรื่องนี้ บางส่วนเปราะบาง บางส่วนเข้มแข็ง การปลดเปลื้องความทุกข์ที่แบกไว้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อเราสามารถละทิ้งสิ่งที่แบกไว้ลงได้ เราก็จะเห็นความสุขค่อยๆเผยตัวตนออกมา...
ปล.ไม่รู้ว่าพร่ำบ่นอะไรได้ยืดยาวขนาดนี้ แต่อย่างที่บอกนะครับ ยิ่งเขียนก็ยิ่งเขียนมากขึ้นๆ วกวนไปมา แต่เชื่อเถอะหนังหนึ่งเรื่องมีอะไรให้คิดมากกว่ามันจะนำเสนอออกมาเสียอีก
๒ ความคิดเห็น:
กว่าจะได้อ่าน ก็สามเดือนผ่านไป เอ๊ะ เลือกหนังเหมือนกันตั้งสามเรื่องแน่ะ :)
ประทับใจเรื่อง AVATAR เช่นกันคะ
:D
แสดงความคิดเห็น