วันจันทร์ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเนื่องจาก"รัก"
ปีที่ 25 ของการเดินทางของชีวิตเพิ่งจะผ่านพ้นไปเองครับ ปีนี้ผมเองไม่ได้สัญญาหรือบอกกับตัวเองว่าจะทำตัวอย่างไร ผมปล่อยให้หลายๆอย่างเป็นไปตามแต่มันจะเป็น แตกต่างจากปีที่ผ่านๆมานะครับ ที่ผมมักจะบอกกับตัวเองว่าปีนั้นๆผมจะทำอะไรบ้าง ยกตัวอย่างก็เช่น อย่างปีที่แล้วผมบอกกับตัวเองว่าจะยิ้มให้ได้มากที่สุด โกรธให้ได้น้อยที่สุด...ผ่านไปได้ซัก 3 เดือน มันก็เข้าสู่อีหรอบเดิมที่ที ปีนี้ผมก็เลยไม่ได้บอกอะไร สัญญาอะไรกับตัวเองเลย รอดูสิ่งต่างๆรอบตัว และตัวเองว่าจะเป็นเช่นไร รอดูกันต่อไปครับ
รู้สึกขอบคุณทุกๆคนที่ทำให้วันเกิดของผมในทุกๆปีเป็นวันเกิดที่มีค่ามากๆเลยนะครับ ไม่รู้จะพูดอย่างไร แม้หลายคนอาจบอกว่าวันเกิดก็แค่วันหนึ่งๆที่ผ่านพ้นไปเหมือนทุกๆวัน ไม่รู้ซิครับ ผมกลับคิดว่ามันสำคัญมากทีเดียวนะ หากไม่มีวันนี้ วันที่โลกมีผมเกิดมาเพื่อเพิ่มน้ำหนักแก่โลกอีกหนึ่งคน ก็อาจทำให้คนอื่นๆไม่ได้แสดงความรักความเอาใจใส่ต่อผมได้ขนาดนี้นะครับ เดี๋ยวบางคนจะไม่รู้ว่ามีคนให้รักบ้างแล้วน่ะครับ แน่นอนผมเข้าข้างตัวเอง อย่างน้อยๆผมเองก็รู้สึกว่า วันนี้คือการแสดงความรักต่อกันมากกว่าวันวาเลนไทน์เสียอีก มันทำให้ผมซาบซึ้งต่อทุกๆสิ่งที่หลายคนช่วยกันทำ ของขวัญทุกชิ้นที่ผ่านการคิด สรรหารวมไปถึงเสาะหาเพื่อจะนำมามอบให้กับผม ของขวัญที่ต่อให้ชิ้นเล็กขนาดไหน ราคาจะต่ำต้อยเพียงใด มันก็ยังดูมีคุณค่ามากๆทางจิตใจผมอยู่ดี ถึงตรงนี้มันอาจฟังดูเชยๆที่ผมจะบอกว่าผมขอบคุณุกๆคนด้วยใจจริงนะครับ แค่คำอวยพรสั้นๆ happy birthday แค่นี้ มันก็ทำให้ผมทราบแล้วว่า อย่างน้อยโลกใบเดิมๆเบี้ยวบ้างกลมบ้างใบนี้ ยังมีใครหลายคนจดจำผมได้ ใครหลายคนที่เขายังนึกถึงผม ใครหลายคนที่มอบความปรารถนาดีผ่านคำอวยพร ผ่านสิ่งของ ผ่านการกระทำ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมเรียกว่า"โชคดี"แล้วจะเรียกว่าอย่างไรครับ
ขอบคุณจริงๆครับ
ปล.วันนี้มึนๆบอกไม่ถูก เขียนไปก็งงๆ แต่อยากจะเขียนอะไรซักอย่างเพื่อบอกกับตัวเองว่า ผมโชคดีมากขนาดไหนที่มีคนให้รักและมอบความรักให้กันครับ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
โอ้!หลีเป๊ะแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส...ตอน 2
อรุณสวัสดิ์
ผมเองเป็นคนที่ประเภทตื่นเช้าได้ไม่ทุกวันนะครับ อย่างน้อยๆมันต้องมีอะไรที่คอยกระตุ้นให้ตื่นตัว และครั้งนี้ก็มีอะไรกระตุ้นจริงๆด้วย...อย่างหนึ่งคือ ผมเองไม่รู้ว่าจะพลาดอะไรไปบ้างหากเราไม่ได้ตื่นเช้ามาเพื่อมองดูทะเลยามเช้าและตะวันขึ้นจากขอบฟ้า แน่นอนคำพูดที่กล่าวว่า ตะวันขึ้นที่ไหนๆก็ดวงเดียวกัน แต่บางคนก็ลืมไปว่ามันคนละที่ คนละช่วงชีวิตกัน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่สนเจ้าดวงตะวันดวงเดิมนั่นหรอกครับ ผมสนเพียงว่า ช่วงเวลาแห่งชีวิตตอนนั้น มีอะไร ใคร และสิ่งใดบ้าง ที่เริ่มปรับเปลี่ยนชีวิตเพื่อวันใหม่วันนี้ แน่นอนครับ การตื่นเช้าได้อะไรมากกว่านั้น
น้ำลด...แอ่งน้ำผุด
ทางน้ำลด
สู่ยอดเสา
อาชีพ
เงียบเหงา
น้ำทะเลหน้าหาดของเราลดไปเยอะมาก เยอะมากจนน่าตกใจกว่าเวลาบ่ายเมื่อวานนะครับ ลดไปจนเราสามารถเดินไปได้ไกล ลึกลงไปจากชายหาดเดิม สันทรายเกิดขึ้นเพื่อรอให้น้ำทะเลที่เริ่มขึ้นเมื่อเวลาสาย กลบมันลงไปยังตำแหน่งเดิม กลายเป็นชายหาดที่น้ำใสราวกระจกอีกครั้ง (นั่นคือเวลาหลัง 8 โมงเช้าไปแล้วนะครับ) การเดินทะเลยามเช้าให้ความสดชื่นเหลือเกิน ผมจึงพบเห็นผู้คนหลากหลายเดินถือกล้องตัวเก่งตามถนัด เพื่อบันทึกภาพที่ต่อให้ตื่นมาอีกกี่เช้าก็ไม่มีวันเหมือนเช้าวันนี้ หลายคนตักบาตรทำบุญ บ้างก็เริ่มปรับตัวเองเพื่อเข้าสู่การเริ่มต้นทำงานของวันใหม่ นกน้อยโบยบิน ปลาน้อยใหญ่เวียนว่ายคงเดิม จนบางครังผมเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า พวกมันรู้หรือป่าวว่ากลางวันกลางคืนต่างกันเช่นไร
เราจะโต เราจะโต
ทิ้งไว้ด้วยระลอกคลื่น
เขาว่า"อึ"หอย
แต่ไม่ใช่ตัวนี้
สิ่งมีชีวิตนะเนี่ยะ
เดินได้ซักพัก น้ำทะเลก็เริ่มไล่เอาความตื้นเขินออกไป หลงเหลือไว้เพียงทรายใต้ผืนน้ำที่เราเองมองเห็นจากชายหาดได้ไม่ยาก หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย วันนี้ฟรีสไตล์ล่ะ พวกเราทุกคนเลยเล่นสนุกอยู่หน้าหาด เพื่อรอ"ใครบางคน"ที่จะตามมาเพื่อค้นหาความสุขพร้อมกันที่หลีเป๊ะแห่งนี้ กิจกรรมยอดฮิตของคนไทยหาใช่การเล่นน้ำทะเลท่ามกลางแดดเปรี้ยง แต่มันคือ"ไพ่"ทั้งผู้เล่นเป็น เล่นไม่เป็นต่างฝึกฝนเรียนรู้เพื่อความสนุก
เชื่อมโยง
ล่องลอย
น้ำมา
หาดไป
เริ่มงาน
ไม่นานเมื่อน้ำทะเลเริ่มไล่ขึ้นจากไกลเป็นใกล้ และไม่ช้าที่ๆเราเคยนั่งกลับกลายเป็นที่ๆน้ำทะเลครอบครองไปเสียแทน ไม่เป็นไรครับ เพื่อนๆพี่ๆผมเปลี่ยนกิจกรรมเพื่อความเหมาะสม นั่นก็คือการเล่นน้ำทะเลและเล่นลูกบอลตามประสาวัยรุ่น?ทั่วไป แม้ว่าแดดจะร้อนสักเพียงใดนะครับ พวกเพื่อนๆพี่ๆผมก็ไม่หวั่นกันเลยครับ ส่วนผมน่ะหรือ ขอถ่ายรูปภาพแห่งความสุขเหล่านี้ต่อไปดีกว่า
เฮฮา
ลีลา
ท่าเดิม...เดิม
แพรว
สุดหล่อ...คริคริ
สุดสวย...อุอุ
ไม่ลืมหูลืมตา
ดีดกุ้ง
แอบมอง
ผู้เล่น
วิธีเล่น
ครื้นเครง
เบื้องหน้า
เบื้องหลัง
ความจริงใช่ว่าไม่อยากเล่นน้ำทะเลนะครับ แต่ผมกลัวว่าสิ่งที่ผมเห็นในตอนนั้น มันจะหายไปเมื่อผมเล่นน้ำทะเลเสร็จสิ้น และกล้องคู่ใจของผมจะกลายเป็นม่ายไปด้วยการกลัวเกลือจะเข้าไปจับส่วนต่างๆของกล้องน่ะครับ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็มีความสุขดีที่มองดูเพื่อนๆพี่ๆของผมมีความสุข ทุกคนสนุกหัวเราะไปกับการถ่ายรูปบ้าง เล่นน้ำบ้าง อิสระเท่าที่ใจจะทำได้ ส่วนผมอย่างที่บอกครั้งนี้ ผมพาเจ้าฟิลเตอร์ CPL ตัวแรกมาใช้ในการมาเที่ยวครั้งนี้ด้วย ไม่ช้ามันก็แสดงพลังอันน่าประหลาดใจออกมาให้ผมได้ยิ้มไปกับภาพถ่ายที่บันทึกขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากกล้องและเจ้าCPLตัวนี้
ฟ้าเข้ม...น้ำใส
ไกล
ใกล้
เหม่อมอง
ลอยลำ
บ่ายแล้วครับ และแล้วใครบางคนที่พวกเรารอก็มาถึง รอยยิ้มเจื่อนๆเกิดขึ้น เพราะอากาศทั้งร้อน ทั้งหิว ทั้งเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว แต่มันก็ถูกกลบมิดไปด้วยเสียงหัวเราะที่ดังกว่า ไม่ช้าเมื่อรวมตัวกันครบแล้วเราก็เหมาเรือหางยาวในราคาคนล่ะ 100 บาท(ไป-กลับ) เพื่อจุดหมายข้างหน้าของเราคือการพิชิต"ผาชะโด"
คนที่รอคอย
เดินทาง
จุดหมาย
แจก กะ ลด
ข้างทาง
ใส
สวย
ผาชะโดตั้งอยู่บนเกาะอาดัง ซึ่งเท่าที่ดูผม น่าจะเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดบริเวณนี้นะครับ จากเบื้องล่างป้ายบอกทางบอกเราว่า ระยะทางจากด้านล่างสู่ผาชะโดนั้น มีระยะทาง 700 เมตรเท่านั้น ไม่รีรอพวกเราก็รีบออกเดินทาง เพราะกลัวจะมืดไปเสียก่อน กว่าจะเดินปีนป่ายตามทางลาดชันสู่จุดวิวพอยท์ก็เล่นเอาเราแทบอ้วกไปตามๆกัน แต่เมื่อเราอ่านป้ายดูดีๆ "จุดชมวิว 1" หมายความวว่ายังมีจุดชมวิว2,3,4...ต่อไปแบบนั้นหรือ เมื่อปรึกษากันเรียนร้อยแล้ว พบทางเดินขึ้นไปยังจุดต่อไปแล้ว เราก็เดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงจุดวิวพอยท์ 3 ที่ๆทุกคนลงความเห็นแล้วว่านี่คือจุดสุดท้ายสำหรับการดูวิวของเกาะหลีเป๊ะในวันนี้(อันที่จริง จุดชมวิวของที่นี่ มีด้วยกันเพียง 4 จุดนะครับ ซึ่งแต่ละจุดก็ให้มุมมองของเกาะหลีเป๊ะที่แตกต่างกันไป
จุดเริ่ม
สู้?
ไหว?
วิวพอยท์ 1
วิวพอยท์ 2
เติมเต็มรูป
วิวพอยท์ 3...กว้าง
วิวพอยท์ 3...สูง
คนเก่ง
คนสูง
สัญลักษณ์การมาเยือน
เมื่อเราชื่นชมและดื่มดำกับบรรยากาศการมองหลีเป๊ะจากมุมสูงแล้วก็ได้เวลาที่เราจะกลับไปยังหลีเป๊ะเสียที(จริงๆแล้วบอกว่า นั่งพักให้หายเหนื่อยจะถูกต้องกว่า) ต้องขอบอกว่าขาลงลำบากยากกว่าขาขึ้นเป็นอย่างมาก เข่าจะเสื่อมเอาได้ง่ายๆนะครับ และแล้วเราก็นั่งเรือหางยาวลำเดิมฝ่าคลื่นลมที่ค่อนข้างแรง เนื่องจากพวกเรามองเห็นเมฆฝนอยู่ไกลๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ ทำเอาพวกเราหลายคนอดหวั่นใจไม่ได้ว่า ในวันพรุ่งนี้ เราจะได้ดำน้ำท่ามกลางท้องฟ้าสดใสไร้ฝนหรือป่าว?
เหงา...อีกแล้ว
ไม่เหงา
ในขณะที่เรือขับฝ่าคลื่นลมที่เริ่มแรงมากขึ้น ผมก็นึกถึงเพลงเก่าๆขึ้นมาหนึ่งเพลง เพลงที่บอกกับเราว่า "เราคงเป็นดังเรือน้อยลำหนึ่ง ในทะเลแห่งชีวิตกว้างใหญ่ แม้คลื่นลมพัดพาให้หวั่นไหว ในใจมีแต่จุดหมายคือฝั่ง มันจะไกลสักเพียงไหนต้องไป แม้ว่าในหัวใจไม่มีใครเลย..."
พร้อมเผชิญ
ผมว่าบางครั้ง คลื่นลมที่ซัดมา ก็เพื่อกระตุ้นให้เราพยายามที่จะเอาชนะมันให้ได้ ฝั่งแห่งแผ่นดินรอเราอยู่ที่ใดซักแห่ง เพียงแต่เราเองจะต่อสู้ ฝ่าฝัน อดทนเพื่อเข้าสู่ฝั่งได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับใจอันแข็งแกร่งของเรานะครับ บางคนอดทนกัดฟันสู้ บางคนบ่นแต่ไม่ย่อท้อ บางคนไม่ปริปากแต่ถอดใจอย่างง่ายดาย น่าเสียดายที่บางครั้งเรือก็จมโดยที่เราไม่ได้ลงมือแม้จะอุดรูรั่วเหล่านั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)