วันพุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

อันเนื่องจาก"เพราะ...รัก"

ไม่รู้อยู่ดีๆ ทำไมผมถึงมองความรักในมุมของคนที่โหยหา ความหมายลึกๆของรักอาจหลบซ่อนท่ามกลางความรู้สึกผูกพัน อย่างน้อยเจ้าสองอย่างนี้มันก็มักจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นพร้อมกัน บางคนอาจฉุกรั้งความรักไว้เท่าที่ตัวเองมีแรง บางคนปล่อยมันไปอย่างง่ายดาย บางคนอยากไขว่คว้า บางคนอยากโยนทิ้ง แปลกดีที่บางมุมของความรักโหดร้าย...

ไขว่คว้า...ผมชอบคำนี้นะ มันเหมือนเราต้องทำอะไรซักอย่าง โดยที่เราเองก็ไม่รู้หรอกว่า เราจะได้อะไรคืนกลับมาบ้าง แต่เราต้องทำ...นั่นคือความหมายโดยทั่วไปซินะครับ

ไม่รู้เหมือนกันว่าไขว่คว้านี่ ถ้ามองในมุมของความรัก มันจะคล้ายๆคำว่า"รั้ง"หรือป่าว เรารั้งเขาไว้ เราไขว่คว้าเขาไว้ สุดท้ายเราจะได้อะไรนะ วันนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้อยู่ดีๆก็อยากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมอาจมองอะไรในมุมที่มืดหม่นไปหน่อย แม้กระทั่งความรัก ผมก็มองว่ามันคงเศร้ามาก หากเราต้อง"ไขว่คว้า"เอามันมา เหตุใด เราจึงยอมทุ่มเทขนาดนั้น

เพลง unloveable ก็คงไม่ต่างอะไรกับเพลง อย่าไปไหนอีกนะ เพราะสุดท้าย แม้ว่าเขาจะอยู่ให้เราจับต้องมองเห็น แต่เราก็สุดเอื้อมที่จะรั้งเขาไว้หรือป่าว อย่างเพลง"อย่าไปไหนอีกนะ" มันเศร้านะ ผมว่า

สุดท้ายเราก็ยอมเศร้าเสียใจอยู่ดี เรายึดติดกับความรักเก่าๆ รักที่กำลังจากเราไป เราลืมสิ่งเลวร้ายที่เราเจอ เรายอมเลือกความรักที่เคยทิ้งเราไปงั้นหรือ เราเลือกจะทำสิ่งที่เราคิดว่าเลวร้ายในสายตาคนอื่นอย่างนั้นหรือ ผมคงเป็นคนไม่ดีเอามากๆ หากต้องเลือกทิ้งความรักที่ทอดทิ้งเรา ไม่แม้กระทั่งไขว่คว้าคืนมา ไม่แม้กระทั่งจะ"รั้ง"ไว้ ไม่รู้เพราะอะไรนะ แต่ผมคงเลือกที่จะเจอกับรักที่พร้อมมอบให้เรามากกว่า...

แบบนั้นเรียกเห็นแก่ตัวหรือปล่าวนะ แบบนั้นมันทำให้ผมเลวร้ายในสายตาคนอื่นๆหรือปล่าวนะ แบบนั้นคนอื่นๆจะเป็นเหมือนผมหรือปล่าวนะ แบบที่เขาเรียกว่า"ไม่รู้จักการให้อภัย"หรือปล่าวนะ...แย่จัง

วันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

The Happening : ธรรมชาติวิปลาส


หลังจากที่เอ็ม ไนท์ ชยามาลานค้นพบว่าตนเองสามารถกระตุ้นความอยากได้ใคร่รู้ของผู้คนทั่วไป โดยสร้างหนังชนิดที่เรียกว่า เผยให้เห็นข้อมูลแต่น้อย ค่อยๆเพิ่มระดับความตรึงเครียดทั้งทางด้านภาพและด้านเสียงประกอบ และนำคนดูเข้าสู่ฉากเฉลยชวนช็อก มันอาจได้ผลในระยะแรกๆ(ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ ภาพยนตร์เรื่อง the sixth sense) มันอาจปูทางให้ระยะหลัง ชยามาลานจึงมุ่งหน้าสร้างหนังในแนวทางเดียวกันมาโดยตลอด ไล่เรียงจาก Unbreakable, Sings, The village, Lady in water บางเรื่องอาจทำเงินและได้รับคำชมจากนักวิจารณ์(นักวิจารณ์หลายต่อหลายคนมักให้คำวิจารณ์แบบ”ก้ำกึ่ง”) ในขณะที่บางเรื่องอาจโดนสวดยับเยิน

เมื่อภาพยนตร์เรื่องล่าสุด The Happening เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ลอกสูตรแบบตามขนบเดิมของเขา กล่าวคือ หนังโดยส่วนใหญ่ของชยามาลาน จะกล่าวถึงวิกฤติศรัทธาของตัวละครหลักหรือกลุ่มคนหลักของเรื่อง โดยมีตัวกระตุ้นเป็นสิ่งลึกลับชวนสงสัยเหนือธรรมชาติ? เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติในรูปแบบต่างกัน ทางออกของตัวละครเหล่านั้นคือสิ่งที่เราคนดูต้องหาคำตอบกันเอาเอง

ช่วงเครดิตต้นเรื่องท้องฟ้าสีสดใสเริ่มเปลี่ยนสภาพกลายเป็นสีดำหม่นมืด มันอาจแสดงถึงเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปอย่างผิดปกติ ทั้งจากสภาพแสงที่มืดหม่น การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของก้อนเมฆ ไม่ช้าเหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่อย่างไร้เหตุผลก็เกิดขึ้น ณ เซ็นทรัล พาร์ค กลางกรุง แน่นอน มันเป็นวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วน่าขนลุก แต่อะไรล่ะที่เป็นสาเหตุ

จากการให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวคร่าวๆของชยามาลาน(เท่าที่จะเปิดเผยได้) The happening คือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมหันตภัยทางธรรมชาติในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง ชยามลานกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่ธรรมชาติจะเอาคืนเราบ้าง”


ในขณะที่เอลเลียต มัวร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) กำลังสอนให้นักเรียนคิดวิเคราะห์และฝึกตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับการอพยพอย่างไร้ร่องรอยของผึ้งจำนวนมาก ข่าวสาร”วิกฤติการณ์การฆ่าตัวตายหมู่” ก็แพร่สะพัดเข้ามาในโรงเรียน โดยอาจารย์ใหญ่อธิบายคร่าวๆว่า อาการผิดปกติจะเริ่มต้นจากการสูดดมเอาสารพิษเข้าร่างกาย จากนั้นจะมีอาการพูดจาวกวน บังคับคนเองไม่ได้ และเสียชีวิตในที่สุด โรงเรียนปิดทำการ เอลเลียตและจูเลี่ยน(จอห์น เลอกุยซาโม)ต้องอพยพครอบครัว ซึ่งประกอบไปด้วย อัลมา มัวร์(โซอี้ เดสชาเนล)ภรรยาที่อยู่ในระยะระหองระแหงของเอลเลียต และเจส(แอชลิน ซานเชส)ลูกสาวคนเดียวของจูเลี่ยน ไปยังเมืองชนบทที่ปลอดภัยก่อนจะถูก”มหันตภัยทางอากาศ”กลืนกินและเสียชีวิตในที่สุด


สมมติฐานอันหลากหลายถูกตั้งผ่านคำพูดของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายปล่อยแก๊สพิษ สารเคมีจากนิวเคลียร์รั่วไหล จนไปถึงต้นไม้ปล่อยสารพิษ มันอาจไม่ใช่สาระสำคัญอะไรหากเราอยู่ในฐานะของ”เหยื่อ”ที่ถูกคุกคามจาก”สิ่ง”ที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ถ้าเราทราบเหตุแห่งปัญหาแล้วเราก็จะสามารถหาทางแก้ปัญหาอย่างตรงจุดที่สุด เอลเลียตก็เช่นกัน เขาพยายามใช้กระบวนการคิด(ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์) เมื่อบวกลบคูณหารแล้ว ผลลัพธ์อันน่าสะพรึงก็คือ ต้นไม้นั่นเองที่เป็นผู้คร่าชีวิตมนุษย์โดยการปล่อยสารพิษสู่อากาศ

หนังพยายามแทรกลักษณะความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำอย่างชัดเจน กล่าวคือ ในขณะที่มนุษย์สามารถแสดงพฤติกรรมได้อย่างอิสระ การเดิน การวิ่ง เรื่อยไปจนถึงการจัดการกับปัญหา หรือการโต้ตอบเมื่อถูกคุกคามจากสิ่งรอบตัว ในทางกลับกัน ต้นไม้เองก็ไร้อิสระจากพฤติกรรมเหล่านั้น(ต้นไม้ไม่สามารถขอร้อง หลีกหนี หรือป้องกันตอบโต้เมื่ออันตรายมาถึงได้) หากมนุษย์ใช้ประโยชน์จากต้นไม้ ไม่ว่าจะนำไม้เหล่านั้นไปทำอะไรก็ตาม ต้นไม้ก็ไม่สามารถลุกขึ้นป้องกันตัวเองได้ เหตุที่สารพิษของต้นไม้มีผลโดยตรงต่อตัวมนุษย์โดยเฉพาะการเคลื่อนไหว อาจเป็นนัยยะสำคัญที่บ่งบอกถึง การเป็นผู้ถูกกระทำโดยปราศจากเงื่อนไขดูบ้าง เราจะได้พบเห็นกลุ่มคนไม่สามารบังคับตนเองได้ จนกระทั่งตัวแข็งเกร็งและฆ่าตัวตายในที่สุด ในขณะที่ต้นไม้เองก็ดูจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ในหลายครั้งชยามาลานตัดภาพสลับระหว่างคนที่แน่นิ่งกับต้นไม้ที่กิ่งไม้ไหวอย่างร่าเริง (คล้ายการพูดคุยหรือแม้กระทั่งออกคำสั่ง) โดยมีลมเป็นสิ่งช่วยเหลือ เราจะรู้สึกอึดอัดเมื่อเราไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระเหมือนเดิม และยิ่งไปกว่านั้น เราไม่สามารถปกป้องตนเองได้จากการถูกคุกคามโดยสิ่งมีชีวิตอื่น(ในที่นี้คือต้นไม้)
สภาวะการที่มนุษย์ถูกคุกคามยังถูกแสดงให้เห็นในหลายๆฉาก เช่นตอนที่กลุ่มของเอลเลียตประกอบไปด้วย เอลเลียต, อัลม่า, เจส, จอชและโจอี้ สองเด็กหนุ่มที่พบเจอขณะหนีสารพิษมาด้วยกัน กลุ่มของพวกเขาเข้าไปขออาหารจากบ้านหลังหนึ่ง เมื่อเจ้าของบ้านไม่ยอมต้อนรับขับสู้และขับไล่เป็นของแถม จอชและโจอี้ได้แสดงทีท่าโมโหตามประสาวัยรุ่น ด้วยการสบถ การถีบประตู พังหน้าต่าง และทั้งสองจบลงด้วยการถูกยิงในระยะเผาขนจากปืนที่เล็งมาจากเจ้าของบ้านโดยปราศจากความเห็นใจ มันอาจแสดงถึงความเถื่อนดิบ เห็นแก่ตัวของมนุษย์เมื่ออยู่ในสภาวะถูกคุกคาม และแน่นอนมันเป็นการป้องกันตัวที่มนุษย์สามารถทำได้


หากเจ้าของบ้านที่ไร้เมตตาแสดงถึงความเป็นมนุษย์ มิสซิส โจนส์( เบ๊ตตี้ บัคลี่)อาจแสดงถึงความเป็นธรรมชาติของต้นไม้ก็เป็นได้ เบ๊ตตี้เป็นหญิงชราที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว เมื่อเอลเลียต อัลม่าและเจสมาขอความช่วยเหลือ เธอเต็มใจเลี้ยงดูปูเสื่อ แม้บ้านของเธอจะไม่มีไฟฟ้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย(เปรียบได้กับธรรมชาติที่ไร้ซึ่งวัตถุหรือเทคโนโลยี) เธอเองยังอธิบายด้วยว่าตามผนังของบ้านจะมี”ท่อ”ซึ่งเชื่อมต่อกันทั้งหมด ทำให้สามารถสื่อสารผ่านห้องอื่นๆได้โดยไม่ต้องเห็นหน้าค่าตากัน(ในหนังมีอยู่หลายครั้งที่พูดถึง ต้นไม้สามารถสื่อสารกันได้ ตั้งแต่ต้นไม้ใหญ่จนกระทั่งต้นหญ้าเล็กๆ) ในขณะที่อัลม่ากำลังจะอธิบายว่าเธอหนีสิ่งใดมา หญิงชรากลับบอกโต้ตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ว่าเธอเองไม่อยากรับรู้เรื่องราวอื่นๆจากโลกภายนอก และในฉากสำคัญที่เจสกำลังเอื้อมมือหยิบคุ๊กกี้ที่อยู่ตรงหน้า และมิสซิสโจนส์เองก็ตีมือของเจสอย่างแรงและพูดว่า”อย่าหยิบจับสิ่งใดที่ไม่ใช่ของเธอ หรือจนกว่ามันจะเป็นของเธอแล้ว” หากคิดให้ถีถ้วนสักหน่อย มันแสดงถึงความไม่เคารพต่อสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่ของตน เราอาจเห็นพฤติกรรมแปลกๆของหญิงชรา เช่น การตะโกนด่าทอว่าพวกเอลเลียตจะมาลักขโมยของเธอ หรือเธอได้ยินเสียงกระซิบของพวกเขา หรือในตอนที่แอลเลียตเข้าไปพบกับ”ความไม่ปกติ”ของเธอ เธอโกรธและมีสีหน้าดุดัน แต่ไร้ซึ่งการตอบโต้ใดๆนอกจากเดินออกจากบ้านไป

มิสซิส โจนส์อาจเป็นตัวแทนของเหล่าต้นไม้ที่แม้จะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม(เธอกังวลเรื่องการถูกคุกคามจากคนภายนอก เธอยินยอมให้คุ๊กกี้ต่อเจสในฉากต่อมา หรือให้ที่พักพิงแก่พวกเอลเลียต) ธรรมชาติเองก็ให้ที่พึ่งพิงแก่มนุษย์ ให้ประโยชน์และต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้มากกว่าการนิ่งเฉย และการที่มิสซิสโจนส์เป็นหญิงชราอายุมาก เราอาจเทียบได้กับธรรมชาติที่มีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์(พวกเอลเลียต) และพวกเขาเองที่ทำให้หญิงชราผู้นี้ต้องพบกับจุดจบน่าสยดสยอง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นตัวอธิบายการดำรงอยู่คู่กันของมนุษย์กับธรรมชาติ ปรากฏการณ์”สารพิษ”จากต้นไม้ในช่วงต้นเรื่อง(หรือตลอดเรื่อง)ว่าเหตุใด การตอบโต้ของธรรมชาติจึงรุนแรงได้ขนาดนี้ มันเหมือนการอัดอั้นเก็บกดและระเบิดออกมาเพียงชั่ววูบ
มันคงเป็นการส่งสัญญาณเตือนตัวละครและเหล่าคนดู ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในอนาคตเราอาจได้พบแก้วใส่ไวน์ที่ทำจากของปลอม สิ่งของเครื่องใช้ที่ทำจากของปลอม หรือแม้กระทั่ง”ต้นไม้”สิ่งมีชีวิตที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเป็นเวลานานก็ยังคงเป็นของปลอม นอกจากความรื่นรมย์ที่หาได้ยากยิ่งแล้ว จะมีประโยชน์อันใดหากเราได้แต่เพียงเฝ้าดู”สิ่งปลอม”เหล่านั้นโดยไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เลย

ไม่เพียงแต่ข้อสงสัยเล็กๆจะผุดพรายขึ้นมาในหัวสมองขณะนั่งดู ว่าเหตุใด เอลเลียต,อัลม่าและเจสจึงไม่ตาย แม้พวกเขาจะสูดเอาอากาศที่(น่าจะ)ปนเปื้อนสารพิษเข้าไป หากเราสามารถสื่อสารกับต้นไม้ได้เช่นเดียวกับคู่สามีภรรยาชาวไร่ที่เอลเลียตขอโดยสารมาด้วย(สามีชาวไร่บอกว่า เขารู้ว่าหากเราพูดคุยกับต้นไม้ ต้นไม้จะโตเร็วขึ้น ให้ผลผลิตมากขึ้น) ต้นไม้เองก็”น่าจะ”รับรู้ถึงความคิดของเราได้เช่นกัน ชยามาลานให้สัมภาษณ์ว่า”ต้นไม้จะทำร้ายผู้ที่มีความคิดเป็นลบ” ส่วนแนวคิดของเอลเลียตที่ว่าต้นไม้สามารถจับพลังงานของมนุษย์ได้ การแยกกลุ่มย่อยจะทำให้ต้นไม้ไม่สามารถจับพลังงานของเราได้ เมื่อผนวกเอาแนวคิดทั้งสองเข้าด้วยกัน สมมติฐานคร่าวๆก็คือ ต้นไม้จะตรวจจับพลังงานของมนุษย์ก่อนความคิด หากมนุษย์มีจำนวนมาก การตายแบบ”เหมารวม”ก็จะเกิดก่อน(ไม่ว่าจะมีความคิดเป็นแบบใดก็ตาม) ในขณะเดียวกัน หากมนุษย์อยู่ตามลำพังแต่มีความคิดเป็นลบ(เช่น มิสซิส โจนส์) ต้นไม้ก็สามารถปล่อยสารพิษทำร้ายได้เช่นกัน กลุ่มของเอลเลียตอาจรอดชีวิตจากเหตุผลทั้งสองก็เป็นได้


แน่นอน ไม่มีอะไรที่เราสามารถสรุปจบรวบรัดได้ราวกับจับวาง ความน่ากังขามากมายของธรรมชาติ สร้างความสงสัยใคร่รู้ ความท้าทายให้เราได้ศึกษาค้นคว้าและวิจัย แต่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้น สิ่งสำคัญที่เราควรตระหนักให้มากก็คือ เราควรให้ความเคารพธรรมชาติ เราสร้างความสมดุลย์เมื่อมีทั้งให้และรับ ธรรมชาติสร้างเราให้คงอยู่และเช่นเดียวกัน เราควรจะดำรงธรรมชาติให้อยู่คู่กันตลอดไปด้วย

วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ส่วนของเมฆ...


ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ความรู้สึกอ้างว้างปนหม่นเศร้าแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ใจคือมันมักจะเกิดเป็นพักๆ และอยู่ดีๆมันก็เกิดขึ้นมา...ส่วนหนึ่งเมื่อเหม่อมองท้องฟ้าในวันสองวันที่ผ่านมา ผมกลับสำรวจตัวเองพบว่า อาจเกิดอาการหม่นเศร้า เหงาจิตแบบนี้ทุกครั้งที่"ฝนตก" จริงหรือ

เมฆหนาพาให้ความสดใสของวันหมองลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันบดบังเอาแสงแห่งความหวัง แสงแห่งความสดใส แสงแห่งความเบิกบานสดชื่นให้ลดทอนลง เหลือเพียงความมืดครึ้ม ทุกอย่างดูพร่ามัวราวกับต้องมนต์แห่งสีเทาที่ดูแปลกตา ไม่ดีเอาเสียเลย และแล้วความเหงาและเศร้าหม่นก็ครอบงำ

บางคราวผมเองนั่งมองเมฆครึ้มลอยต่ำๆไร้การเคลื่อนที่ เปล่าเลยอันที่จริงมันเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ เหมือนกิจวัตรที่ใครหลายคนเป็นยามที่ฝนเริ่มตั้งเค้า เมฆที่ดูแน่นหนาจนเราเองคิดไปว่ามันหยุดนิ่ง พาลทำให้เรามีเวลานึกคิดถึงสิ่งรอบตัว นึกคิดถึงความเป็นไปหรือความหยุดเคลื่อนไหวของเราไปชั่วขณะหนึ่ง แม้ช่วงเวลาสั้นๆมันกลับทำให้เราอ่อนแอได้ขนาดนั้น ก้อนเมฆเหล่านั้นมีอำนาจได้เพียงนั้นจริงหรือ

ผมเองเริ่มไม่แน่ใจในตัวเอง เมื่อรู้ตัวอีกที ฝนก็ปรอยตกลงมา กระทบม่านตาให้สิ่งต่างๆรอบตัวดูพร่าเลือนมากเข้าไปอีก แต่กลับกัน ยามเมื่อน้ำกลั่นตัวพร้อมร่วงหล่นสู้พื้น ความรู้สึกเศร้าหม่นกลับค่อยๆเลือนหาย คล้ายว่ามันถูกชะล้างด้วยน้ำฝนเหล่านั้น นานทีเดียวที่กว่าจะรู้ตัวว่าเราได้ลบเลือนเอาความเศร้าหม่นออกไปยามฝนปรอยนั้นรู้สึกอย่างไร ผมเฝ้าดูเม็ดฝนตกกระทบหลังคา กันสาดหรือแม้แต่พื้นดิน เสียงฝนตกดังก้องไปพร้อมกัยเสียงพร่ำบ่นของผู้คนที่ไม่ชอบสายฝนเพราะความเปียกแฉะเลอะเทอะ ผมลืมความเศร้าหม่นแล้วจริงๆหรือ...

ไม่นาน เมื่อส่วนของเมฆที่กลั่นตัวจากเบื้องบน ตกลงมาจนหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงความชุ่มชื่นและเริ่มเข้าสู่ฟ้าอันสดใส ไม่นานใจของผมก็เริ่มต้อนรับแสงสว่างที่ฉายออกมาเพื่อนำทุกอย่างสู่ความเป็นไป ความเป็นไปที่เกิดขึ้นเสมอๆ ผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงหัวเราะเฮฮา รอยยิ้มและความรื่นเริง จะมีซักกี่คนที่เคยถูกส่วนของเมฆบดบังความสดใส กลายเป็นคนหม่นเศร้า

แต่จนกระทั่งตอนนี้ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเพราะส่วนใดของเมฆกันแน่ ที่นำความเหงาพัดเข้ามาสู่จิตใจ หรืออาจเป็นเพราะส่วนของใจที่ไม่พร้อมเปิดรับความสดใสในยามฟ้าหม่นเช่นนี้

วันอังคารที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ความ(ไม่)พอดีของเวลา


ไหนๆก็ขึ้นหัวข้อว่าด้วยเวลาแล้ว หลายคนคงเคยได้ยินว่า"เวลา"ก็เป็นเพียงหน่วยวัดชนิดหนึ่งที่เราๆอุปโลกน์ขึ้นจากสิ่งรอบตัว เวลาเป็นสิ่งซึ่งสมมติโดยเทียบวัดจากอะไรบางอย่างที่เรากะเกณฑ์ กำหนดเพื่อบอกถึงเหตุการณ์หนึ่งๆที่ดำเนินไป ถ้าเช่นนั้นแล้ว เวลาของแต่ละคนมันจึงไม่เท่ากัน ใช่หรือป่าว?

แปลกดีเหมือนกันที่อยู่ๆก็รู้สึกอยากทำโน่นทำนี่ขึ้นมามากมาย อยากรู้สึกว่าจริงๆแล้วเราเองมีเวลาเหลือเฟือหรือไม่มีเวลาเหลือพอสำหรับการทำหลายๆสิ่งที่เราอยากทำ อยากทดลองทำ หรือแม้แต่ไม่เคยทำ บางครั้งผมเองก็รู้สึกว่า เวลานั้นน้อยเกินไปจริงๆ ในแต่ละวัน มักผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เรา"ไม่มี"เวลาให้กับตัวเองเลย บางครั้งก็อยากที่จะนั่งลงเฉยๆ เดินเรื่อยๆเปื่อยๆ นอนพลิกไปมา นอนมองดูฟ้าบ้าง เพดานบ้าง...ทำไมทำแบบนั้นไม่ได้นะ

ยิ่งช่วงเวลานี้ยิ่งแล้วใหญ่ ช่วงเวลาที่รู้สึกว่า"อนาคต"สำคัญกับเรามากขนาดนั้น แล้วเราจะมาเอื่อยเฉื่อยเรื่อยเปื่อยไร้แก่นสารได้อย่างไร เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาที ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนต่อคำถามที่ยังกำกวมอยู่เลย แม้ผมจะเป็นคนตั้งมันขึ้นมา แต่คำตอบเหล่านั้นก็ไม่ได้กระจ่างแจ้งให้ประจักษ์ แปลกดีมั้ยล่ะ

แปลกมั้ยที่เรื่องของเวลาข้างหน้า ที่เขาเรียกว่าอนาคต ที่มันเปลี่ยนแปลงได้ แต่เรากลับนำมันมาเป็นส่วนสำคัญต่อการกระทำในหลายๆเรื่อง มันคือ"อนาคต"นะ จะแน่นอนได้อย่างไร ใครคิดแบบผมบ้าง น้อยคนแน่ๆว่ามั้ย ก็ในเมื่ออนาคตมันกำหนดชีวิตเราได้ มันสำคัญมากกว่าปัจจุบันงั้นหรือ หลายๆคนจึงเร่งมือเพื่อที่จะสร้างมันขึ้นมา...ผมคิดน้อยจริงๆว่ามั้ย?

ตอนนี้ มีความสุขแน่หรือ? อาจเป็นคำถามที่ยังคงวนเวียนเข้ามาในหัว รอคอยคำตอบที่จะช่วยให้เรารับรู้ แต่ทว่า...มันก็ยังคงไม่มีคำตอบที่แน่ชัดอยู่ดี แล้วแบบนี้ อนาคตเราจะเป็นอย่างไรเล่า

แต่บางครั้งก็ดูเวลาจะมากมายมหาศาล นอกจากการนั่งเล่น นอนเล่น เดินเล่นไร้สาระฆ่าเวลา ผมน่าจะทำอะไรที่มันมากกว่านั้นได้อีกนะ ทำอะไรที่ดูดีมีประโยชน์ งาน เรียน ถ่ายภาพ...แม้กระทั่งตอนมานั่งเขียนอะไรแบบนี้ ผมใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์หรือป่าวนะ เวลามันน้อยหรือมันมากไปกันแน่?

ปล.ผมเอง อาจคิดเองเออเองอย่างง่ายๆ แต่อย่างน้อย บางครั้งเวลาสำหรับมันสำคัญมากเหลือเกิน

วันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

โอ้!หลีเป๊ะแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส...ตอนจบ

สาธุ

เวลาเช้าเช่นนี้ก็หมุนเวียนมาเหมือนทุกวันนะครับ สิ่งต่างๆเริ่มเคลื่อนไหวทำหน้าที่ของตนต่อไป วันนี้เองที่ผมได้เดินเล่นหน้าหาด เรื่อยๆมาเรียงๆ รู้ตัวอีกทีก็ไปจนถึงกลางหาดเลยนะครับ ในที่นี้หมายถึง หากน้ำทะเลขึ้น ผมก็จะยืนอยู่กลางทะเลเลยทีเดียว และที่พลาดมากๆเลยก็คือ ผมลืมถ่ายปลานีโม มาให้ดูล่ะ(จากหน้าหาดน่ะ)เซ็งปลา!!!(ไม่เอาเซ็งเป็ดอ่ะ) เดินไปเดินมาก็เห็นปลาดาวกับหอยเม่นเยอะแยะไปหมดเลยครับ ดีจริงๆ

ยามเช้าเช่นเคย


รองานเข้า


ดาวมงกุฏหนามป่าว?


ดาว...หน้าหาด


หอยมือเสือ


หอยพู่ฉัตร

หลังจากเดินเล่นอยู่คนเดียวได้ไม่นาน ภายใต้ท้องฟ้าไม่เป็นใจ เพราะเมฆมากเหลือเกิน(เมื่อคืนฝนตกล่ะครับ)แสงรำไรยามเช้าช่วยให้เราถ่ายรูปได้ตามอัตภาพ(โทษแสงซะงั้น) และแล้วเมื่อตะวันทอแสง วันนี้เป็นวันที่พวกเรานัดกันว่าจะเพิ่มสีสันให้กับชายหาดแห่งนี้ เหนืออื่นใดมันเป็นการเพิ่มสีสันให้กับพวกเราเองด้วย เปลี่ยนจากชุดเดิมๆ ต่างคนต่างใส่ มาเป็นเสื้อผ้าที่เราใส่เพื่อความเป็นหมู่คณะซะ ก่อนหน้าที่จะเดินทางมา พวกเรานัดกันเพื่อจับฉลากว่าใครจะโชคดี ได้สวมใส่กางเกงเลสีอะไร สนุกเชียวนะครับ ตอนจับฉลากน่ะ เพราะกางเกงเลที่ซื้อมา มีสีที่แตกต่างกันไป แต่ครั้งนี้ พวกเราเน้นสีสดๆนะครับ เริ่มไล่กันตั้งแต่สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีบานเย็น สีชมพูอมม่วง สีฟ้าอ่อน สีฟ้าอมเขียว สีน้ำเงิน สีเขียวอ่อน สีเขียวเข้ม และสีที่มืดมนที่สุดคือสีแดงเลือดหมู พอเราจับได้ครบแล้วก็เหลือแต่รอเวลาให้ถึงเกาะหลีเป๊ะและเตรียมตัวใส่เจ้ากางเกงเลสีบาดใจเหล่านี้พร้อมกัน... ว่าแต่ เอ๊ะ!แล้วใครได้สีอะไรไปใส่บ้างนะ?

ใครอ่ะ?


เอา"ช้าง"มาฉุดก็ไม่อยู่


ใครบ้างเนี่ยะ


ไว้เฉลยล่ะกัน

หลังจากได้ภาพเป็นปริศนาได้นิดหน่อยแล้ว พวกเราก็ทยอยเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะได้ดำน้ำทั้งวันเลยนะครับ เราจะออกเดินทางไปยังเกาะต่างๆประมาณ 9 โมงเช้าครับ หลังทานข้าวเรียบร้อยแล้ว

งานเข้าแล้ว


หนึ่งลำโดยสาร


มองกลับไป


มรกต


แจก กะ ลด (ทำไมเรือไม่ล่มซะทีเนี่ยะ!!!)


เริ่มแขยงกันแล้ว


สู้ตายค่า...


อี...น่ากัว


สู้ค่า...หญ้าทะเลอยู่ไหน?


ปลาสวย น้ำใส


ปลาเยอะมาก

ช่วงที่ดำน้ำ ผมเองก็บรรยายไม่หมดหรอกครับว่าเราไปเกาะไหนๆบ้าง เพราะหลังจากรับประทานยาแก้เมาเรือไปแล้ว(กลัวว่าเดี๋ยวเมาเรือแล้วจะไม่สนุก)สมองก็มึนๆงงๆ ง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา แต่เท่าที่ผมจำได้นะครับ เราเริ่มกันที่หาดหินงามครับ ทั้งดำน้ำและไปยังชายหาดที่มีแต่หินสวยงามวางตัวเรียงรายตามพื้นชายหาดแทนทรายเม็ดเล็กสีขาวใสแทน ไกด์เราบอกว่าให้สาดน้ำไปที่หินเหล่าด้วย มันจะสะท้อนประกายแดดเรืองรองสวยมากเลยครับ ยิ่งสะท้อนยามแดดต้องแล้วลวดลายของหินก้อนมนๆเหล่านี้ก็ยิ่งเด่นชัดทำให้มันสวยมากขึ้นไปอีกนะครับ เขาว่ากันว่ามาที่นี้ให้ตั้งหินเรียงสูงขึ้นไปซัก 11 ชั้นแล้วอธิษฐานจะสมหวังนะครับ นอกจากนี้ห้ามเก็บหินเหล่านี้กลับไปเด็ดขาดนะครับ เขาว่าจะต้องเอามาคืนใน3วัน7วันเลยทีเดียว ใครไม่เชื่อ ลองหาทางไปพิสูจน์นะครับ แล้วมาบอกผมด้วย

หินงาม


มน...กลม...เกลี้ยงเกลา


หาดหินงาม


สะอาดตา


กี่ชั้นเนี่ยะ


คู่ควร


หลากสไตล์ คล้ายหิน


ขอโลกจงสงบสุข...

จากนั้นเราก็นั่งเรือด้วยความง่วงมึนยาวนานมากจนมาถึงเกาะหินซ้อน เพื่อถ่ายภาพอันสวยงามนะครับ ปรากฎการณ์หินซ้อนสองก้อนจากธรรมชาติคงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อลมและฝนช่วยกันตกแต่งความงามเหล่านี้ให้เกิดขึ้น แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น คือระยะเวลาที่กว่าจะเกิดหินซ้อนนี้ต่างหาก บางครั้งเราก็รู้สึกว่า"กว่าจะถึงวันนี้"อะไรบ้างที่หล่อหลอมสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา คุณค่าของมันอยู่ตรงนั้นนะครับ ผมว่า...

โน้น


นี่


เกาะหินซ้อน

เมื่อเราถ่ายรูปเรียบร้อยแล้วเราก็เตรียมตัวไปดำน้ำต่อยังเกาะต่างๆไล่เรียงไป เริ่มจากการแวะกินข้าวเที่ยวที่เกาะรอกลอยน้ำใสราวกระจก อะไรจะอร่อยไปกว่าแตงโมเนื้อแดงน้ำชุ่มฉ่ำหวานกับอากาศร้อนๆแบบนี้ เกาะผึ้งกับการไต่เชือกดำน้ำ(เพราะน้ำที่นี่เชี่ยวมาก แต่ก็สวยมากที่เดียว)เกาะราวีกับการเลี้ยงปลาหลากชนิดและดำน้ำตื้นชนิดที่ เรายืนดูปลาตรงน้ำแค่หัวเข่าเท่านั้น ดำน้ำดูปะการังเขากวางที่เกาะยาว ปะการังอ่อนสีสันสวยงาม ปะการังไฟกับเฉดสีแดงตัดกับขอบสีขาว กัลปังหากลางทะเลลึก ปลาหลายชนิดมากมายและที่เห็นเยอะมากๆคือปลานกแก้วและปลาเสือตัวจอมกินนะครับ หอยเม่นและปลิงทะเลก็เยอะแยะจนหยะแหยงไปหมด แต่ที่ผมชอบมากที่สุดคือการดำน้ำบริเวณที่เรียกว่า ร่องน้ำจาบัง ที่นี่ปะการังสวยมากครับ และน้ำแรงสุดๆด้วย ที่นี่จะดำน้ำต้องดูเรื่องกระแสน้ำด้วยนะครับ แต่ชาวเรือบอกว่าที่นี่จะสวยที่สุดเพราะเป็นทางผ่านของสัตว์ต่างๆ แพลงตอนจะเยอะมาก และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สวยมากครับ

เกาะรอกลอย


น้ำใสมาก


ชิงช้าสวรรค์


ยืนยัน


จาก...สวรรค์


สู่...ฟ้ากว้าง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเกาะเล็กเกาะน้อยที่ดำน้ำผ่านมานั้นมีชื่ออะไรบ้างนะครับ แต่ที่แน่ๆ เราดำน้ำจนเย็นย่ำค่ำมืดเลยทีเดียว แต่พอดีที่ผมจะทันถ่ายรูปแสงสุดท้ายของวันนี้ครับ เขาว่ากันว่าถ้าฟ้าสีแดงมากๆพายุจะเข้า ผมก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จอย่างไรนะครับ แต่อย่างน้อย เย็นวันนั้นมันก็ทำให้เพื่อนผมหลายคนรวมทั้งตัวผมเอง มองเห็นความสวยงามท่ามกลางความน่ากลัวของท้องฟ้าได้อย่างชักเจนครับ และคืนนี้ นอกจากการนับเลขเร็ว ลองหัดนับเหรียญ ทดลองทอนเงินเหรียญ รวมไปถึงทดสอบความไวของมือในการสลับที่ของไพ่(แถวบ้าผมเรียกว่า"สับ" อิอิ) ผมเองก็นึกอเดียในการทดลองถ่ายภาพ light painting ที่ได้ร่ำเรียนมาด้วยนะครับ ยากสักหน่อยเพราะเราไม่มีแฟลช ได้แต่ใช้ของกล้องเพื่อน แต่ได้เท่านี้ก็ค่อนข้างพอใจนะครับ

ตั้งเค้า


แสงเหงาๆ


ชีวิตที่นี่


โดดเดี่ยว


แสงสุดท้าย


light painting


ปิศาจน้อย


เอ่อ...!?



สายไฟเย็น

เช้าสุดท้ายที่หลีเป๊ะยังไม่ทันจะสร่างจากความมึนงง ผมเองก็หรี่ตาเห็นเมฆฝนมืดทะมึนมาแต่ไกล ในใจก็คิดว่าแย่แน่ๆถ้าฝนตก คงเป็นทริปที่แย่จริงๆด้วย แต่ไม่นานเสียงของเพื่อนๆก็ปลุกผมตื่นจากภวังค์และบอกว่ารีบอาบน้ำแปรงฟันเพื่อถ่ายรูปชุดสุดท้ายที่หลีเป๊ะกันครับ หลังจากที่ถ่ายรูปแนะนำตัวกันหมดเรียบร้อยแล้ว เช้านี้ส่วนใหญ่ก็จะเน้นแบบหมู่คณะนะ ผมว่าสนุกดี กระโดดบ่อยขึ้น คิดท่ามากขึ้น สนุกมากขึ้น จนกระทั่งถึงเวลาที่เราต้องอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเดินทางกลับแล้วครับ ใจก็ได้แต่บอกว่าไม่อยากจากเกาะสวรรค์แห่งนี้ไปเลย คงดีถ้าเราสามารถยืดเวลาออกไปอีกเพียงนิดหน่อย


มืดครึ้ม


ทะเลสีดำ


สัญลักษณ์


ปลา...เขียวแก่


ปุ๊...ชมพูทวีป


นิ...บานเย็น


แจ้...เขียวอ่อน


หญิง...กาคาบพริก


ตาล...ส้มโอ


คิว...ฟ้าครึ้ม


น๊อต...ฟ้าน้ำทะเล


ปัท...ตองเหลือง


จอช...น้ำตาลทราย


นิค...น้ำเงินยวง


ช่าง(ถือ)กล้อง


สุดความสามารถ


ยกกำลังสู้ตายค่า


ท่าอื่นมีมั้ย?


กอดกัน"กลม"


น่ารัก มั้ยค้าบ


กำลังดี


buddha bless


girly biggy


พ่องู


แม่งู


กินหัว


กินกลาง


กินตลอดตัว


กินหมาก


กินหาง


เหนียว...เหลือ


สาม...สี่


หรีด...มาเอง


ร้อน


เย็น


หลายท่วงท่า


เรียงตัว


ลมหายใจ หอมสดชื่น?


ผสมสี


ข้อใดต่างจากพวก


ตอบ...ส้มโอคับ/ค่ะ


ทำไงดีล่ะ


วิธีนี้ซิ


ฮึ่บๆ


เย้


โดดให้ความสุข


โค้งอันตราย


ชิล ชิล


สามัคคีชุมนุม


หลีเป๊ะ...รูปสุดท้าย

กลับมาถึงปากบาราด้วยความรวดเร็ว ประมาณเที่ยงๆเองครับ แล้วพวกเราก็ต้องมานั่งรอเวลารถทัวร์ออกล่ะ ประมาณสี่โมงเย็นโน้น ก่อนกลับพี่ทัวร์เขาพาเราไปเยี่ยมชม อช.หมู่เกาะเพตราด้วยนะครับ อันที่จริงก็เดินแถวๆแผ่นดินแหล่ะครับไม่ได้ลงเรือหรือไปไหนเลย แม้จะขึ้นไปจุดชมวิว(ที่ทุกคนเข็ดขยาด)ก็ไม่ได้ไป เวลาน้อยนะครับ เดี๋ยวจะกลับ กทม ไม่ทันอ่านะ ไม่งั้นพวกเราคงได้เห็นการเก็บน้ำลายนกนางแอ่น หรือรังนกนางแอ่นนับร้อยๆรังแน่ๆเลยครับ

รู้สึกอย่างไร?


อช.หมู่เกาะเพตรา


ทางเดินแห่งรัก


บรรยากาศโดยรอบ

รอ จม.อยู่นะ

ไม่นานหลังจากนี้พวกเราทุกคนคงต้องทิ้งเกาะหลีเป๊ะไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่แผ่นดินใหญ่เพื่อเดินตามทางชีวิตของพวกเราต่อไป ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผันผ่านไปเร็วเสมอ แต่เวลาสั้นๆเหล่านั้น กลับทำหน้าที่เป็นรอยต่อเชื่อมช่วงชีวิตที่แสนยาวไกลของเรา มันอาจเป็นรอยต่อเล็กๆ หากแต่เมื่อเราร้อยรวมรอยต่อเหล่านี้เข้าด้วยกัน รอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฎบนหน้า คงบอกกับเราว่า รอยต่อแห่งความสุขเหล่าทำหน้าที่ของมันได้สมบูรณ์พร้อมแล้ว...