ครั้งแรกกับตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย(ผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า ตอนนี้ยังคงสถิตินี้ไว้หรือไม่) ตึกใบหยกสอง ยังคงตั้งตระหง่านท่ามกลางความคราคร่ำของผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่วนใหญ่ก็เพื่อเดินเลือกซื้อเสื้อผ้า บ้างก็ค้าขายอย่างสนุกสนาน มีบ้างที่ดูเหน็ดเหนื่อย ย่านที่เรียกประตูน้ำนี้ เป็นแหล่งช็อปปิ้งอย่างดี สำหรับผู้มีเวลา ผู้มีใจกล้าหาญในการเดินเสียดสี ถูไถและต้องการสติอยู่กับตัว เผื่อไว้ว่ากระเป๋าสตางค์จะหายเอาได้ง่าย
ใบหยก และ ใบหยก 2
เดินมาได้ซักพัก เบื้องหน้าก็คือตึกใบหยก 2 ที่ๆเราจะไปหาข้าวกินกันเย็นนี้ โอว!อาจฟังดูสิ้นคิด แต่เราก็เลือกแล้ว(ที่แน่ๆ มีผู้ให้การสนับสนุนอาหารมื้อนี้ซะด้วย) ได้ทีเราก็เลยขอมาลองกับมื้อสุดหรูเสียหน่อย
จุดหมายของเรา
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนนะครับว่า เราสำรองที่นั่งไว้ก่อนจะมา ซักวันหรือสองวันได้นะครับ เพราะอันที่จริงพวกเรา( เตาะแตะกลุ่มเดิม) ก็อดจะตื่นเต้นกับอะไรแปลกใหม่ไม่ได้เสียที หลังจากจองที่ได้แล้ว (คิดว่าราวๆ 600 บาทต่อคนนะครับ) ก็เริ่มเดินทางสู่ชั้นเสียดฟ้ากันเลย
ไม่นาน เราก็ถึงชั้นที่ 18 ล็อปบี้ของตึกใบหยกครับ เพื่อชำระเงินแลกกับตั๋วที่นั่งและสำหรับการเดินชมทัศนียภาพเบื้องล่าง ชั้น 77 ที่ชั้นนี้จะมีลักษณะของพิพิธภัณฑ์มากที่สุด กล่าวคือ จะมีการตกแต่งไว้สำหรับการถ่ายภาพเสียส่วนใหญ่ พวกเราก็ถ่ายเสียจนเหนื่อยเลยครับ(นานๆมาซักครั้งน่ะ)
ถ่ายภาพ
ภาพถ่าย
ชีวิตเมืองกรุง
โดดเดี่ยว
ก๊กเตาะแตะ
หากันจนเจอ
เสียดฟ้า
สระบัวแสนบาท
วิถีชาวบ้าน
ไฮโซตัวจริง
ไม่ยอมไปไหนเลย
ทรามวัยกะไอ้จก
คนขับกับเจ้านาย
ชั่วโมงละสิบบาท
ร้านอั๊วะเอง
เหมาะสมมากกกก
ลูกคิด ยังคิดเป็นไหม
ได้นั่งบอลลูนด้วย สุดๆมั้ยล่ะ
มาเถอะ เติมรักให้เต็มลูกโป่ง
ก่อนจะไม่ทันเวลานะครับ พวกเราก็เลยรีบขึ้นไปเพื่อชมจุดชมวิวนอกอาคาร ที่ชั้น 84 ซึ่งที่นี่เป็นจุดชมวิวบนดาดฟ้าที่หมุนได้รอบ เราสามารถมองเห็นกรุงเทพมหานครอย่างทั่วถึงโดยที่เราแค่ยืนอยู่กับที่เท่านั้น (โห...เว่อร์จริงๆ) โชคร้ายหน่อยนะครับ สำหรับวันที่ไปกันนั้น ฟ้าปิดทำให้เราไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้
เหมือน...ไม่ได้ตั้งใจ
โอ้โห นี่หรือบางกอก
ชอบตรงนี้ที่สุดเลย
จำได้ไหม อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
สนามม้านางเลิ้ง
เบื้องล่าง
เส้นทางสู่อิสระ
อีกมุมสวยๆ
เนื่องจากให้ได้บรรยากาศ ระหว่างที่เราชมวิวกัน ก็จะมีเสียงนกร้องขับขานตลอดเวลาที่เรายืนอยู่บนดาดฟ้าหมุนนี้ เข้ากับบรรยากาศโรแมนติกมากๆ จนบางคู่ทนไม่ไหว เราก็เลยแต่อิจฉาตาแดงหน้าร้อนผ่าวๆต่อไป แงง!
รัก
เซอ
ชัด
มัว
นก
วุ่นวาย
ติดขัด
ไปทานอาหารกันเถอะครับ บริเวณชั้น 83 จะเป็นห้องบางสกาย ซึ่งจะมีร้านอาหาร crystalgrill ตั้งอยู่ ห้องอาหารนี้มีลักษณะเป็นวงกลมเดินได้โดยรอบนะครับ อาหารก็จะเป็นบุฟเฟต์นานาชาติ ผสมผสานไปด้วยอาหารแบบ grill หรือแบบย่างและเผากันสดๆนะครับ
ร้าน Crystal Grill ครับ
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่เราจองไว้(แต่เขาเลือกให้) ผมก็บ่นกับเพื่อนว่า ไม่เห็นอะไรเลย วิวไม่สวย ทำไมไม่เลือกอีกที่ หรือฝั่งอื่นๆ เพื่อนก็ได้แต่อือออกันไป เพราะพวกเราเองก็ไม่เคยมา ทำไงได้ครับ อาหารมากมายจากทุกมุมโลกมีให้เลอกมากมายนะครับ ทั้งซูชิจากญี่ปุ่น บาร์บีคิวจากเม็กซิกัน เนื้อแกะจากออสเตรเลีย สตูจากตะวันออกกลาง หรือต้มยำกุ้งจากไทย ส่วนของหวานและผลไม้ก็สับเปลี่ยนมาให้รับประทานไม่ขาดสายเลยนะครับ เพราะฉะนั้นสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ากินเองนะครับ หลังจากเริ่มลงมือละเลงปากด้วยอาหาร ชนิดเอียนแล้วเอียนอีก(คำถามสำคัญมากๆคือ คุ้มมั้ยเนี่ยะ?) ผมก็โอกาสเดินรอบๆ เผื่อจะเจอกับมุมวิวที่สามารถถ่ายรูปได้ และก็ต้องพบว่า...ที่ๆเรานั่งนั้น เป็นวิวที่สวยที่สุดในร้านนี้แล้ว
อิ่มแล้วพวกเราก็ขอขึ้นไปชมกรุงเทพ ยามค่ำคืนจากมุมสูงบ้าง เพื่อความแตกต่าง (อ้อ! ร้านอาหารน่ะ เขาเปิดบริการตั้งแต่ 17 - 22 น. นะครับ)
อาวุธพร้อม
ข้าศึกน่ากิน
นี่ก็ศัตรูน่าทาน
สนามรบ
กบฏย่างกุ้ง
สงครามเย็น
กองกำลัง
เหลือเพียงหนึ่ง
จัดการซะเรียบ
และแล้วดวงดาวก็อยู่เบื้องล่างของเรา เกินบรรยายจริงๆครับ มุมสูงสุด ทำให้เรามองเห็นแสงไฟระยิบระยับคล้ายดาวมากๆเลย เพื่อนผมคนหนึ่บอกว่า ชอบจัง และผมก็เห็นด้วยนะครับ ว่ามันสวยมากๆเลย เสียดายมากๆที่เราไม่สามารถถ่ายรูปได้ เหตุผลไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะเจ้ากรรมที่ ดาดฟ้า มันหมุนตลอดเวลา เวลาถ่ายภาพจะไหวตลอดครับ ทางที่ดี ไปดูด้วยตัวเองดีกว่า...
ทางช้างเผือก
องศาที่ต่างกัน
มุมมองจากโต๊ะอาหาร
หลังจากอิ่มกับอาหารกาย และสดชื่นกับอาหารไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เรากลับกันแล้วครับ (อ้อ !บอกอีกหน่อย ชั้น 73 และ 84 ซึ่งเป็นชั้นสำหรับเปิดบริการเพื่อชมวิวนั้น จะเปิดเวลา 10.30 - 22 น. นะครับ )
เส้นดาวโคจร
ดาวล้านดวง
แสงสีไร้เสียง
ความงามท่ามกลางความวุ่นวาย
ปรับแสงขาวนิดหน่อยครับ
ความสุขเพียงชั่วครู่ อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่กับเราไปตลอดการเดินทางของชีวิต เปลี่ยนมุมมองบ้างเพื่อความสมดุลของชีวิต มองสิ่งใหญ่เป็นสิ่งเล็ก เพื่อที่เราจะได้เห็นโลกที่ต่างไปจากเดิม มองสิ่งเล็กเป็นสิ่งใหญ่เพื่อให้โอกาสกับเรื่องเหล่านั้นบอกเล่าเรื่องที่เรามองข้ามไปบ้าง เราอาจพบเห็น"ความสำคัญ"ของสิ่งต่างๆจากมุมมองใหม่ๆได้
ข้อมูลเกี่ยวกับอาคาร
-ตัวอาคารมีความสูง 309 เมตร เทียบเท่ากับคน 82 ต่อตัวกันขึ้นไป
- มีบันไดตั้งแต่ชั้นล่างสุดถึงชั้นบนสุด 2,060 ขั้น ใช้เวลาเดินขึ้นไปกว่า 1 ชั่วโมง
- หน้าต่างมีจำนวนทั้งสิ้น 1,740 บาน เท่ากับหน้าต่างของตึกแถวรวมกันกว่า 200 คูหา
- เสาเข็มตึกเจาะลงใต้ดินที่ความลึก 65 เมตร หรือตึกถึง 22 ชั้น
-พื้นที่ใช้สอยภายในตัวอาคารคิดเป็น 179,400 ตรม. จะเท่ากับพื้นที่สนามฟุตบอล 30 สนาม
อันนี้คือประวัติเสาและการสร้าง
เสาใหญ่มากครับ